โป๊กเกอร์ (Poker) เกมไพ่ยอดนิยมที่รู้จักกันทั่วโลก ดึงดูดใจผู้เล่นมานานหลายศตวรรษ ต้นกำเนิดสามารถสืบย้อนไปถึงต้นศตวรรษที่ 19 ในอเมริกา และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็เติบโตและพัฒนาเป็นหลักในคาสิโน ห้องไพ่ท้องถิ่น และแพลตฟอร์มออนไลน์ ufabetplay.com การผสมผสานองค์ประกอบของโอกาส กลยุทธ์ และจิตวิทยา โป๊กเกอร์นำเสนอประสบการณ์เกมที่ท้าทายแต่น่าดึงดูด ซึ่งดึงดูดผู้คนที่หลากหลาย

ทุกวันนี้ เกมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ห้องไพ่ควันบุหรี่หรือคาสิโนหรูหราเท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตไปถึงอาณาจักรดิจิทัลด้วยผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกที่เล่นโป๊กเกอร์ออนไลน์ เกมแต่ละรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Texas Hold’em, Omaha หรือ Seven-Card Stud นำเสนอชุดกฎและกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งจะเพิ่มความซับซ้อนและความตื่นเต้น ดังนั้น การเล่นโป๊กเกอร์ให้เชี่ยวชาญไม่เพียงแต่ต้องเข้าใจกฎเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ความยืดหยุ่น การสังเกต และความเข้าใจในกลยุทธ์ที่ดีด้วย

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นที่มีความกระตือรือร้นหรือผู้เล่นที่มีประสบการณ์ซึ่งมุ่งสู่ลีกใหญ่ โป๊กเกอร์ยังคงเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นและให้รางวัลที่จะทำให้คุณกลับมาเล่นอีก ในหัวข้อถัดไป เราจะเจาะลึกเข้าไปในโลกของโป๊กเกอร์ สำรวจกฎ กลยุทธ์ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีเอาชนะเกมของคุณทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์

โป๊กเกอร์ คืออะไร?

โป๊กเกอร์ (Poker) คือการแข่งขันแบบหนึ่งที่ใช้การ์ดเป็นเครื่องมือหลัก ด้วยความนิยมที่แพร่หลายในทุกภูมิภาคของโลก รูปแบบเกมนี้มีสากลในสหรัฐอเมริกาเมื่อศตวรรษที่ 19 โดยวัตถุประสงค์ของการเล่นโป๊กเกอร์นั่นก็คือ การวางแผนในการทิ้งการ์ดและการข้นการ์ดในทางที่ดีที่สุด เพื่อทำให้คุณมีความสามารถที่สูงกว่าคู่แข่งขัน หรือบางครั้งคุณจะพยายามทำให้คู่ของคุณท้อแท้ ทำให้คุณชนะการแข่งขันและได้รับรางวัลจากคู่แข่งทุกคน แต่เกมประเภท Texas No Limit Hold’em หรือ NLHE เป็นแบบยอดนิยมที่สุดในโลก ในการเล่นนี้ พวกคุณจะได้รับการัน 2 ใบ และคุณจะมีจุดมุ่งหมายคือ ใช้การ์ดดังกล่าวร่วมกับการ์ดแจกออกมาอีก 3-5 ใบ แล้วเลือกการ์ด 5 ใบ ที่จะทำให้คุณมีการ์ดที่ดีที่สุด (ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดเล็กๆน้อยๆทั้งหมด) คนที่ชนะจะได้รับรางวัลทั้งหมดจากการแข่งขัน (เราจะเรียนรู้รายละเอียดของการเล่นทีหลัง)

(ปัจจุบัน ยังมีการเกม NLHE อื่นๆอีกเช่นเกมแบบ 3-1 (ได้รับการ์ด 3 แล้วเลือกทิ้งการ์ด 1 ใบ เหลือการ์ด 2 ใบสำหรับการเล่น) หรือ Shortdeck หรือ 6+ (การ์ดจาก 2-5 แต่ละดอกถูกเอาออกจากสำรับ และเหลือเฉพาะการ์ด 6-A เท่านั้น) ทำให้เกมมีความสะใจะกว่า) เห็นแบบนั้น เมื่อทราบว่าโป๊กเกอร์คืออะไรแล้ว เราก็วมาศึกษาวิธีการเล่นโป๊กเกอร์ NLHE (โป๊กเกอร์จะถูกเรียกว่าโป๊กเกอร์ ทั้งหมด ที่คุณจำเป็นต้องรู้ว่าเป็น NLHE)

ก่อนจะเริ่มเล่นโป๊กเกอร์ คุณต้องทราบถึง 3 องค์ประกอบนี้:

  • ลำดับความแข็งแกร่ง (หรือขนาด) ของการ์ด
  • Blind
  • วิธีการเล่น (หัวข้อย่อย : ตำแหน่งการเล่น / การกระทำในการเล่น / รอบการเล่น)

ประวัติ โป๊กเกอร์ (Poker)

ในขณะที่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของโป๊กเกอร์เป็นประเด็นถกเถียง, นักวิชาการด้านเกมหลายคนชี้ไปที่เกม Poque ของฝรั่งเศสและเกม As-Nas ของเปอร์เซียว่าเป็นแรงบันดาลใจในช่วงแรกๆ ตัวอย่างเช่น ใน Foster’s Complete Hoyle ฉบับปี 1937, RF Fosterเขียนว่า “เกมโป๊กเกอร์ซึ่งเล่นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ไพ่ห้าใบต่อผู้เล่นแต่ละคนจากแพ็คไพ่ยี่สิบใบเป็นเกมเปอร์เซียอย่างไม่ต้องสงสัยของอัส-นาส” อย่างไรก็ตาม, ในปี 1990 ความคิดที่ว่าโป๊กเกอร์เป็นอนุพันธ์โดยตรงของ As-Nas เริ่มถูกท้าทายโดยนักประวัติศาสตร์เกม รวมถึง David Parlett

อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่แน่นอนคือโป๊กเกอร์ได้รับความนิยมในภาคใต้ของอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เนื่องจากเรือเล่นการพนันในแม่น้ำมิสซิสซิปปีและรอบ ๆ เมืองนิวออร์ลีนส์ในช่วงทศวรรษที่ 1830 คำอธิบายแรก ๆ ของโป๊กเกอร์ที่เล่นบนเรือกลไฟในปี 1829 บันทึกโดยนักแสดงชาวอังกฤษโจ โคเวลล์เกมนี้เล่นด้วยไพ่ยี่สิบใบจากเอซ (สูง) ถึงสิบ (ต่ำ).

ตรงกันข้ามกับโป๊กเกอร์รุ่นนี้, สตั๊ด 7 ใบ ปรากฏขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เท่านั้น และแพร่กระจายโดยกองทัพสหรัฐเป็นส่วนใหญ่ มันกลายเป็นวัตถุดิบในคาสิโนหลายแห่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นพร้อมกับการกำเนิดของ World Series of Poker ในปี 1970.

Texas Hold ’em และเกมไพ่ชุมชนอื่น ๆ เริ่มครอบงำฉากการพนันในอีกสองสามทศวรรษข้างหน้า. การถ่ายทอดโป๊กเกอร์ทางโทรทัศน์มีอิทธิพลอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเพิ่มความนิยมของเกมในช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษ. ส่งผลให้โป๊กเกอร์เฟื่องฟูในอีกไม่กี่ปีต่อมาระหว่างปี 2546 และ 2549. ทุกวันนี้, เกมดังกล่าวได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นงานอดิเรกที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก.


พื้นฐานของโป๊กเกอร์

โป๊กเกอร์เป็นเกมที่มีความหลากหลายและซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งผสมผสานทักษะ กลยุทธ์ และองค์ประกอบของโอกาส โดยพื้นฐานแล้ว มันหมุนรอบการเดิมพันและวางกลยุทธ์เพื่อชิงชิปหรือเงินจากผู้เล่นคนอื่นโดยการบรรลุมือที่มีอันดับสูงสุดหรือกระตุ้นให้ผู้เล่นคนอื่นหมอบ มาดูโครงสร้างพื้นฐานของเกมโป๊กเกอร์และสำรวจรูปแบบที่เป็นที่นิยมกัน

วิธีเล่นโป๊กเกอร์

แม้ว่ากฎและความแตกต่างจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบต่างๆ ของโป๊กเกอร์ แต่ก็มีประเด็นพื้นฐานบางประการที่ยังคงสอดคล้องกัน โดยทั่วไปแล้ว โป๊กเกอร์จะเล่นโดยใช้สำรับไพ่มาตรฐาน 52 ใบ โดยผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับไพ่หนึ่งชุด ตลอดทั้งเกม มีการเปิดเผยไพ่ชุมชน และผู้เล่นวางเดิมพันหรือหมอบตามความแข็งแกร่งของมือ

ลำดับการเล่นโดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยผู้เล่นหนึ่งคนขึ้นไปทำการเดิมพันแบบบังคับ เรียกว่า บลายด์ หรือ แอนต์ เพื่อสร้างเงินเดิมพันเริ่มต้น จากนั้น เจ้ามือจะแจกไพ่ให้กับผู้เล่นแต่ละคน ไม่ว่าจะหงายหน้าหรือคว่ำหน้าขึ้นอยู่กับรูปแบบ

เกมดำเนินไปแบบสลับรอบการเดิมพันและการแจกไพ่ ในระหว่างรอบการเดิมพันเหล่านี้ ผู้เล่นมีตัวเลือกในการคอล (ตรงกับเงินเดิมพันปัจจุบัน) เพิ่ม (เพิ่มเงินเดิมพัน) หรือหมอบ (ยอมแพ้มือและเสียชิป) เป้าหมายสูงสุดคือให้ผู้เล่นมีมือที่ดีที่สุดเมื่อพูดถึงการประลองหรือบลัฟในการทำให้คู่แข่งรายอื่นหมอบ

รูปแบบต่างๆ ของ โป๊กเกอร์

แม้ว่าโป๊กเกอร์อาจดูเหมือนเป็นเอนทิตีเดียว แต่จริงๆ แล้วเป็นคำที่ใช้ครอบคลุมเกมประเภทต่างๆ มากมาย โดยแต่ละประเภทมีกฎและกลยุทธ์ของตัวเอง ตัวแปรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ :

  1. Texas Hold’em : ถือเป็นรูปแบบของโป๊กเกอร์ที่ได้รับความนิยมและเล่นกันอย่างแพร่หลาย Texas Hold’em เริ่มต้นด้วยไพ่สองใบที่แจกให้กับผู้เล่นแต่ละคน ตามด้วยไพ่กองกลางห้าใบที่เจ้ามือหงายหน้าขึ้น วัตถุประสงค์คือเพื่อสร้างไพ่ห้าใบที่ดีที่สุดโดยใช้การผสมผสานระหว่างไพ่โฮลและไพ่กองกลาง
  2. โอมาฮา : คล้ายกับ Texas Hold’em โอมาฮาเกี่ยวข้องกับการแจกไพ่สี่ใบให้กับผู้เล่นแต่ละคนแทนที่จะเป็นสองใบ วัตถุประสงค์ยังคงเหมือนเดิม – เพื่อสร้างมือที่ดีที่สุดโดยใช้ไพ่สองใบและไพ่กองกลางสามใบ โอมาฮามีรูปแบบย่อยต่างๆ เช่น Pot Limit Omaha และ Omaha Hi/Lo
  3. Seven-Card Stud : นี่คือหนึ่งในรูปแบบเก่าของโป๊กเกอร์และประกอบด้วยห้ารอบการเดิมพัน ผู้เล่นจะได้รับไพ่ที่หงายหน้าและคว่ำหน้ารวมกัน (โดยหงายหน้าสามใบและหงายหน้าสี่ใบ) วัตถุประสงค์คือเพื่อสร้างมือไพ่ห้าใบที่ดีที่สุดจากไพ่เจ็ดใบที่แจกในที่สุด

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรูปแบบต่าง ๆ ของโป๊กเกอร์ที่มีอยู่มากมาย การทำความคุ้นเคยกับเกมยอดนิยมเหล่านี้จะทำให้คุณมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการสร้างทักษะและกลยุทธ์การเล่นโป๊กเกอร์ของคุณ

ลำดับของความแข็งแกร่ง (หรือจำนวน) ของการ์ด (ลำดับของการ์ด)

ในเกมโป๊กเกอร์, การ์ดที่เราได้รับ, รอบการเล่นที่เราเล่น, หรือลำดับของความแข็งแกร่งของการ์ดที่เรามีความนิยมที่จะเรียกว่า “Hand” (หรือ “แฮนด์”). ตัวอย่างเช่น, แฮนด์นี้มีการ์ดที่ xx, แฮนด์ของเรามีการ์ดใหญ่ๆในตำแหน่งที่ xx, หรือในรอบแฮนด์ที่ผ่านมาเรามีการเล่นอย่างไร, ฯลฯ.

สำหรับโป๊กเกอร์, ลำดับของความใหญ่ของการ์ดจะเรียงจาก 2 ไปจนถึง A, ซึ่งคือ 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, T(Ten จะใช้ตัวย่อ T แทน 10 เนื่องจากต้องใช้ตัวอักษรเพียงอย่างเดียว), J, Q, K, A (โดย A ถือว่าสูงที่สุด, แต่ถ้าต้องจัดเรียง, ได้แก่ A, 2, 3, 4, 5 เป็นลำดับแรก).

การ์ดที่ผู้เล่นจับได้สามารถเป็นดังนี้:

♣ Club (c)

♦ Diamond (d)

♥ Heart (h)

♠ Spade (s)

ทุก “สูท” มีค่าเท่ากันและไม่มีสูทไหนที่มากกว่าสูทอื่น

อย่างที่เราได้กล่าวก่อนหน้านี้, หนึ่งในเป้าหมายของเกมนั่นคือ เราต้องพยายามประกอบการ์ด 5 ใบที่มีความแข็งแกร่งที่สุด (หรือมีแฮนด์ที่ใหญ่ที่สุด). ลำดับความแข็งแกร่งหรือขนาดของแฮนด์สามารถประกอบด้วย:

  • สูง / ใบใหญ่ (ไพ่ใหญ่) คือ ความยุ่งยากที่ไม่มีไพ่ที่คล้ายๆหรือดอกไม้ทั้งหมดหรือตัวเลขที่เรียงกัน เราเลือกใหญ่ที่สุดจากไพ่ที่ใหญ่ที่สุด เช่น เรายึด K8 ผสมกันกับไพ่กองกลาง 4 6 3 จึงได้ไพ่ใหญ่ ด้วยไพ่ใหญ่ที่สุดที่ K รวมเป็น K 8 6 4 3
  • คู่เดียว (1 คู่) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 2 ใบ เช่น เรายึด 96 ผสมกันกับไพ่กองกลาง T 6 2 แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี 1 คู่ ซึ่งคือ 66 และอีก 3 ใบคือ 10 9 2 รวมเป็น 6 6 10 9 2
  • สองคู่ (2 คู่) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 2 ใบ 2 คู่ เช่น เรายึด 95 ผสมกันกับไพ่กองกลาง 9 5 3 แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี 2 คู่ ซึ่งคือ 99 55 และไพ่อีก 1 ใบคือ 3 รวมเป็น 9 9 5 5 3
  • ตอง / ตั้ง / เซ็ท (ตอง) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 3 ใบ เช่น เรายึด KK ผสมกับไพ่กองกลาง K 5 8 แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี Set ซึ่งคือ KKK และไพ่อีก 2 ใบคือ 5 8 รวมเป็น K K K 8 5
  • เรียง (เรียง) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่เรียงกันติดกัน 5 ใบ เช่น เรายึด 67 ผสมกับไพ่กองกลาง 3 4 5 แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี straight ซึ่งคือเรียงถึง 3 4 5 6 7 (A สามารถเรียงได้ทั้ง straight ที่เล็กที่สุดคือ A 2 3 4 5 และใหญ่ที่สุดคือ 10 J Q K A)
  • ดอก (ดอก) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ที่ดอกเดียวกันทั้งหมด 5 ใบ เช่น เรายึด 8♦7♦ ผสมกับไพ่กองกลาง 6♦ 4♦ 2♦ แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี flush คือ 8♦7♦6♦4♦2♦
  • ฟูลเฮาส์ (ตอง+คู่) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ตอง + 1 คู่ เช่น เรายึด Q6 ผสมกับไพ่กองกลาง Q Q 6 แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี full house คือ Q Q Q 6 6
  • สี่ใบ / Quads (4 ใบ) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 4 ใบ เช่น เรายึด AA ผสมกับไพ่กองกลาง A A 8 แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี Quads คือ A A A A 8
  • เรียงเคลื่อน + ดอก (เรียง+ดอก) คือ เมื่อผสมแล้วมีไพ่ที่เรียงกันและดอกเดียวกัน 5 ใบ เช่น เรายึด 8♣7♣ ผสมกับไพ่กองกลาง 4♣5♣6♣  แบบนี้เมื่อผสมกันเราจะมี straight flush คือ 4♣5♣6♣7♣ 8♣
  • Royal Flush (เรียงสูงสุด+ดอก) คือ เมื่อส่วนผสมให้เรามี straight flush ที่ใหญ่ที่สุดคือ 10 J Q K A ที่ดอกเดียวกันให้ความคิดนั้นเอง

การชนะกันตามความใหญ่ของ hand นั้น จะสามารถชนะกันได้ 2 รูปแบบ

คนละระดับ : ระดับใหญ่กว่า ชนะ ระดับเล็กกว่า

ตัวอย่าง

  • เราถือ AA คู่แข่งถือ KQ ไพ่กองกลางมี AKQ72 เราจะชนะคู่แข่ง เพราะเรามี Set AAAKQ ขณะที่คู่แข่งมี 2 pair KKQQA
  • เราถือ KJ คู่แข่งถือ KQ ไพ่กองกลางมี KKTJA เราจะชนะคู่แข่ง เพราะเรามี Full House KKKJJ ขณะที่คู่แข่งมี Straight คือ TJQK

ระดับเดียวกัน : ไพ่ใหญ่กว่า ชนะ ไพ่เล็กกว่า

กรณีนี้จะซับซ้อนกว่าการชนะคนละระดับเล็กน้อย เพราะต้องมีการเลือกและเทียบไพ่ในระดับเดียวกัน

ตัวอย่าง

  • เราถือ AK คู่แข่งมี A5 ไพ่กองกลางมี A8742 ทำให้ทั้งเราและคู่แข่งมี 1 pair เหมือนกัน แต่เราถือ AK จะชนะ A5 เพราะเรามี 1 pair ที่ “ตัวคุม” (หรือที่เรียกว่า Kicker) ใหญ่กว่า (K ใหญ่กว่า 5) ทำให้รวมแล้วเราจะมี hand AAK72 ซึ่งใหญ่กว่า AA752
  • เราถือ AK คู่แข่งมี AQ ไพ่กองกลางมี AKQ ทำให้ทั้งเราและคู่แข่ง มี 2 pair เหมือนกัน แต่เราถือ AK จะชนะ AQ เพราะมี 2 pair เป็น AAKKQ ซึ่งเป็น 2 pair ที่ใหญ่กว่า AAQQK
  • เราถือ AJ คู่แข่งมี K8 ไพ่กองกลางมี AK998 ทำให้ทั้งเราและคู่แข่งมี 2 pair เหมือนกัน แต่เราถือ AJ จะชนะ K8 เพราะมี 2 pair เป็น AA99K ซึ่งเป็น 2 pair ที่ใหญ่กว่า KK99A (เราใช้ 99 เป็นอีก 1 คู่จากกองกลาง ส่วนคู่แข่งจะไม่ได้ใช้คู่ 88 เนื่องจากต้องใช้ 99 จากกองกลาง ซึ่งเป็นคู่ใหญ่กว่า)
  • เราถือ AJ คู่แข่งถือ 55 ไพ่กองกลางมี 99886 เราจะชนะคู่แข่ง เพราะเราจะมี 2 pair 9988A ขณะที่คู่แข่งมี 2 pair 99886 โดยใช้ไพ่กองกลางทั้งหมด (ไพ่ 55 ของคู่แข่งจะไม่ได้ใช้เลย เนื่องจากกองกลางมี 2 pair 99 88  ซึ่งเป็น pair ที่ใหญ่กว่า 55 บนมือของคู่แข่ง และ 6 บนกองกลางก็ยังใหญ่กว่า 5 กรณีนี้เรียกว่าการถูก “Counterfeit” คือการที่ไพ่ในมือแพ้ไพ่กองกลาง เลยไม่ได้ใช้ไม่ในมือเลย)

Blind (บลาย)

blind ในความหมายที่ง่ายต่อการเข้าใจคือ “ระดับราคาของเกม” ซึ่งเกมกำหนดเพื่อเทียบกับค่าเงินต่างๆ (เช่น บาท หรือ ดอลลาร์ $) โดย 1 blind จะมีค่าเท่าใด การกำหนดค่านี้เกิดจากการที่เราเล่นโป๊กเกอร์จะมีการเดิมพันแข่งกับกัน มีการเกทับกัน ดังนั้น จึงต้องมีการกำหนดราคาขั้นต่ำของการลงเงินหรือการเกทับ

ตัวอย่างเช่น กำหนดให้ 1 blind = 20 บาท และในการกำหนดค่า blind นี้ จะเรียกว่า 1 blind คือ “big blind” (bb) และ ½ blind คือ “small blind” (sb) ซึ่งมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของ big blind เสมอ

สำหรับการเรียกชื่อของราคาเกม คือ small blind / big blind เช่น เกมที่กำหนดให้ blind (bb) เท่ากับ 20 บาท sb จึงเท่ากับ 10 บาท ซึ่งเป็นเกม 10/20 บาท หรือ ถ้ากำหนดให้ blind = $5 sb/bb ก็คือ $2.5/$5

การดำเนินการในเกม

เมื่อเล่นโป๊กเกอร์ ผู้เล่นจะมีการดำเนินการ 5 ทางยามต้องตัดสินใจเล่น

“Bet” คือ การวางเงินเดิมพันครั้งแรกของแต่ละรอบ อย่างน้อย 1 bb

“Call” คือ การจ่ายเงินเดิมพันเพื่อเทียบกับการ Bet เพื่อดูการ์ดที่จะเปิดในรอบถัดไป หรือเปิดการ์ดเพื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งเมื่อจบรอบ

“Fold” คือ การยอมแพ้ โดยทิ้งการ์ดของตนเอง และไม่ต้องจ่ายเงินเดิมพัน

“Raise” คือ การเพิ่มเงินเดิมพันเพื่อมากกว่าการ Bet อย่างน้อย 2 เท่าของจำนวนของ Bet

“Check” คือ การส่งผ่านโดยไม่จำเป็นต้องวางเงินเดิมพัน สามารถทำได้เฉพาะเมื่อยังไม่มีใคร Bet หรือวางเงินเดิมพันในแต่ละรอบ

รอบเล่น โป๊กเกอร์

ใน 1 รอบ (หรือ “hand”) จะมีการเล่นสูงสุด 4 รอบ แต่ละรอบมีชื่อ ดังนี้

รอบที่ 1 : Preflop (รอบก่อนเปิดการ์ดกองกลาง)

รอบที่ 2 : Flop (รอบสำหรับการ์ดสามใบกองกลาง)

รอบที่ 3 : Turn (รอบสำหรับการ์ด 1 ในกองกลาง)

รอบที่ 4 : River (รอบสำหรับการ์ดสุดท้าย 1 ในกองกลาง)

แต่ละรอบจะมีขั้นตอนการเล่น ดังนี้

รอบที่ 1 : Preflop  

โป๊กเกอร์ Poker

หลังจากทุกคนนั่งอยู่รอบโต๊ะ แล้วกำหนดผู้ที่จะเป็น BTN, SB (ที่ต้องลงเงินครึ่งหนึ่งของ bb) และ BB (ที่ต้องลงเงินเท่ากับ 1 bb) จัดแจกไพ่ในลำดับโดยบุคคลที่แจกไพ่ให้มอบใบแรกให้กับ SB และจบกับ BTN ท่านสุดท้าย โดยจะแจกไพ่ใบที่สองให้กับ SB ใบใหม่ และจบกับ BTN ใบใหม่อีกครั้ง โดยมีการแจกไพ่ 2 ใบให้กับทุกคน

การเล่นในรอบ Preflop จะเริ่มขึ้น โดยบุคคลที่ต้องตัดสินใจเป็นคนแรก (ที่เลือก action) สามารถเลือก Call, Bet หรือ Fold แต่สิ่งที่ไม่สามารถทำได้คือ Check (เนื่องจาก BB ถูกบังคับให้ Bet ลงเงิน 1 bb) หรือ Raise (เพราะยังไม่มีใคร Bet ตัดสินใจจากนั้นการตัดสินใจครั้งต่อไปจะเป็นครั้งถัดไป โดยจะสิ้นสุดที่ BB

หากรอบ Preflop ไม่มี Bet และแม้ว่าคุณจะเป็น SB คุณจะไม่ต้องเลือก Call ครึ่งหนึ่งของ bb เอง (เนื่องจากคุณได้ลงเงินครึ่งหนึ่งของ bb แล้ว) แต่หากมีการ Bet หรือ Raise BB จะต้องตัดสินใจเรื่องการ Call

เมื่อทุกคนเล่นเสร็จ จะมีการเก็บเงินที่แต่ละคนได้ Bet, Raise หรือ Call (รวมถึงส่วนของ sb และ bb) แล้วนำมานับรวมเป็น “Pot” ที่ติดโดยเล่นจนถึงจบรอบตามลำดับ, เงินเดิมพันในแต่ละรอบที่สะสมมาเรื่อยๆ จะถูกนับรวมใน Pot

รอบที่ 2 : Flop

โป๊กเกอร์ Poker

หลังจากที่ทุกคนได้ตัดสินใจในรอบ Preflop แล้ว ผู้เล่นที่ยังไม่ได้ Fold ในรอบก่อน จะได้เล่นต่อในรอบนี้ที่เรียกว่า ‘Flop’ คนที่แจกไพ่จะเริ่มหยิบไพ่ทั้งหมดสามใบจากกองกลางแล้วเปิดให้ทุกคนเห็น (จะเรียกไพ่ข้างนอกสามใบนี้ว่า Flop ซึ่งทำให้รอบนี้เรียกว่ารอบ Flop และรอบก่อนหน้าเรียกว่ารอบ Preflop) แล้วก็จะเริ่มเล่นต่อด้วยการเดิมพันในรอบที่สอง

ในรอบ Flop นี้ ผู้เล่นคนแรกที่จะต้องตัดสินใจคือผู้เล่นที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของ BTN คนแรกที่ยังคงอยู่ (ถ้า SB ยังไม่ได้ Fold ไป สิทธิ์ที่จะเป็นคนแรกในการตัดสินใจจะเป็นของ SB แต่ถ้า SB ได้ Fold ไปแล้ว คนที่จะตัดสินใจแรกจะเป็นคนถัดไป ถ้าคนถัดไปก็ได้ Fold ไป คนถัดไปอีกจะเป็นคนแรกในการตัดสินใจ) และผู้เล่นคนแรกที่ต้องตัดสินใจในรอบนี้มีสิทธิ์ที่จะ Check ได้ เนื่องจากยังไม่มีใครที่ Bet ในรอบนี้ เมื่อทุกคนได้ตัดสินใจเสร็จแล้วการเดิมพันทั้งหมดจะถูกรวมเข้าใน Pot ที่สร้างขึ้นแล้ว หลังจากนั้น เราก็จะเข้าสู่รอบถัดไปคือ Turn

รอบที่ 3 : Turn

โป๊กเกอร์ Poker

ในรอบ Turn ผู้แจกไพ่จะเปิดไพ่กองกลางเพิ่มอีก 1 ใบ และเริ่มเดิมพันกันในรอบที่สาม ในรอบนี้ผู้เล่นคนแรกที่ต้องตัดสินใจ คือ ผู้เล่นที่อยู่ทางด้านซ้ายมือถัดไปคนแรกถัดจาก BTN ที่เหลืออยู่ เช่นเดียวกับรอบก่อนหน้า หลังจากผู้เล่นทุกคนได้ตัดสินใจครบหมดแล้ว และนำเงินรวมใน Pot เราก็จะเข้าสู่รอบสุดท้ายนั่นคือรอบ River

รอบที่ 4 : River

โป๊กเกอร์ Poker

ในรอบ River ผู้แจกไพ่จะเปิดไพ่กองกลางเพิ่มอีก 1 ใบ ซึ่งเป็นใบสุดท้ายของเกม ทำให้ไพ่กองกลางครบ 5 ใบ และเริ่มการเดิมพันในรอบสุดท้าย ในรอบนี้ผู้เล่นคนแรกที่ต้องตัดสินใจคือผู้เล่นที่อยู่ทางด้านซ้ายของ BTN ที่ยังคงอยู่ เช่นเดียวกับรอบที่ผ่านๆมา หลังจากผู้เล่นทุกคนได้ตัดสินใจครบถ้วนแล้ว ผู้เล่นที่ยังคงอยู่ในเกมจะต้องเปิดไพ่ในมือ (ที่เรียกว่า “Showdown”) เพื่อสิ้นสุดการแข่งขัน ผู้เล่นที่มีการ Bet / Re-Raise จะต้องเปิดไพ่ก่อน ส่วนผู้เล่นที่ Call หากเหลือโดยรวม 2 คน ผู้เล่นที่ Call ก็สามารถเลือกว่าจะเปิดไพ่หรือไม่ หรือหากพบว่าตนเองแพ้ ก็สามารถปิดไพ่และสารภาพว่าตนเองแพ้ (ที่เรียกว่า “Muck”) และหากเหลือโดยรวม 3 คนหรือมากกว่า ผู้เล่นที่ Call จะต้องเปิดไพ่ให้ทุกคนดู เพื่อการทวงความเป็นเจ้าของผลประโยชน์ และผู้เล่นที่มีคะแนนสูงสุดจะได้เงินทั้งหมดใน Pot

ตัวอย่างการ “Showdown ไพ่”

โป๊กเกอร์ Poker

เมื่อผู้เล่นที่ยังคงอยู่ทำการ Showdown ไพ่ที่อยู่ในมือของตน, ดังรูปที่แสดงเป็นตัวอย่างด้านบน, ผู้เล่นที่ถือไพ่ประเภท T9 จะถือว่าเป็นผู้ชนะในรอบนี้ และได้รับเงินทั้งหมดใน Pot. นั่นเป็นเพราะเมื่อผสมตัวเลขที่อยู่บนไพ่ในมือของเขากับไพ่ที่ถูกเปิดอยู่กองกลาง, จะได้ผลว่าเขามี Full House 999TT, ซึ่งมากกว่าผู้ถือไพ่ประเภท 55 ที่มี Full House 55599 และมากกว่าผู้ถือไพ่ประเภท AK ที่มีชุด 2 Pair AA99K.

ในทางเปรียบเทียบ, ถ้าในรอบเดียว มีผู้เล่นเดียวที่คว่ำ Bet หรือ Raise แล้วไม่มีผู้เล่นคนอื่น Call, แต่พวกเขาเลือก Fold, คนที่ทำการ Bet หรือ Raise จะได้เงินที่อยู่ใน Pot ทั้งหมดทันที, โดยไม่จำเป็นต้องเล่นไปถึงรอบ River.

นั่นก็คือวิธีการเล่น NLHE ทั้งหมดโดยเริ่มจากแรกจนถึงท้าย. บทความนี้หวังว่าจะช่วยให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มสนใจโป๊กเกอร์ และอยากเรียนรู้การเล่น จะสามารถเข้าใจพื้นฐานการเล่นโป๊กเกอร์ได้ง่ายขึ้น.

แต่เพื่อให้ทราบว่า, ถึงแม้จะสามารถเข้าใจความหมายและการเล่นได้แล้ว, ก็ยังเหลืออีกมากเพื่อที่จะ “เล่นได้ดี” และสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง. มีอีกหลายข้อมูลที่ควรศึกษาและสำรวจ.

ฝากติดตามและศึกษาในบทความถัด ๆ ไปครับ.

♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣

สรุป โป๊กเกอร์

โป๊กเกอร์มีหลายรูปแบบ รูปแบบที่นิยมมากที่สุด และที่เราจะศึกษากัน คือ Texas No Limit Hold’em (NLHE)

โป๊กเกอร์เป็นไพ่ที่วัดความแพ้ชนะกันตามลำดับของไพ่ ตั้งแต่ High Card จนถึง (Royal) Straight Flush

Blind คือราคาของเกม แบ่งเป็น big blind = 1 blind และ small blind = ½ blind

ตำแหน่งสำคัญในการเล่นโป๊กเกอร์มี 3 ตำแหน่ง คือ Button (BTN), Small Blind (SB) และ Big Blind (BB) โดยการเล่นจะเริ่มจาก BTN เป็นศูนย์กลางและเรียงตามทิศทางเดินตามเข็มนาฬิกาไปจนครบทุกคน

ผู้เล่นมีการกระทำให้เล่นได้ 5 อย่าง คือ Bet (ลงเงินเดิมพัน), Call (จ่ายเงินตาม), Raise (เกทับ), Fold (หมอบ) และ Check (ขอผ่านเมื่อยังไม่มีใครลงเงิน)

รอบการเล่นจะมี 4 รอบ คือ Preflop, Flop, Turn และ River หากมีใครที่ Fold คือถือว่าพ่ายแพ้ในรอบนั้น คนถือไพ่ที่ Bet หรือ Raise จะชนะเกาะไปด้วยกันหากไม่มีคนท้าในรอบนั้น เช่นกรณีที่มีคนบนโต๊ะมาริโน่งันทั้งหมดแล้วมีคนเดียวที่ Bet หรือ Raise จะทำให้คนนั้นได้เงินกองกลาง (Pot) ไปคนเดียวทันที แต่หากมีคนเล่นกันอย่างน้อย 2 คนจนถึงรอบ River และมีคน Call ตามกันมา จะต้องเปิดไพ่ (Showdown) เพื่อวัดความใหญ่ของไพ่ (Hand) กัน โดยคนที่ไพ่ใหญ่ที่สุดจะชนะเกาะเงินในกองกลาง (Pot) ไปทั้งหมด

อัพเดทล่าสุด :

หมวดหมู่ :

แท็ก :